วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

เกร็ดความรู้


ประโยชน์ ของช็อกโกแลต



วันนี้สะกิดมีประโยชน์ดีๆของช็อคโกแลตมาฝากกันค่ะ
  1. ช่วยปรับอารมณ์ และจิตใจ ให้เข้าสู่สภาวะปกติ
  2. ช่วยลดอาการปวดท้อง หงุดหงิด หน้าบวม ตัวบวม ก่อนมีประจำเดือน
  3. ช่วยแก้อาการเมาค้าง หรือ hangover ได้ด้วย จะได้เลิกเมาค้าง ข้ามวันข้ามคืน
  4. ป้องกันการเกิดมะเร็ง เพราะได้พิสูจน์พบแล้วว่า สารที่พบในช็อกโกแลต
  5. เป็นสารชนิดเดียวกันกับ สารที่พบใน ผัก ผลไม้ และไวน์แดง
  6. ช่วยลดอาการอักเสบ เวลาเจ็บป่วยต่างๆ
  7. มีผลต่อสมอง เพราะช่วยให้ตื่นตัว และยังช่วยให้ กระฉับกระเฉงอีกด้วย
  8. ในมิลค์ ช็อกโกแลต อัตราส่วน 1.4 ออนซ์ จะประกอบด้วย โปรตีน 3 กรัม แคลเซียม 5% และธาตุเหล็กถึง 15%
  9. โดยเฉพาะช็อกโกแลต ที่ใส่ถั่ว หรืออัลมอนด์ จะมีสารอาหารพวกนี้มากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีการทดลองและวิจัยพบอีกว่า ผู้ที่ดื่มนมช็อคโกแลต เป็นประจำทุกวันนั้น ไม่มีปริมาณคอเลสเตอรอลที่เป็นอันตรายเพิ่มขึ้น
ทั้งที่บริโภคไขมัน (จากนม) เข้าไปเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ช็อคโกแลตยังอุดมไปด้วยสารเคมีที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสบายใจ สดชื่นและมีความสุข

การจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ


การจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ


แนวคิดและหลักการ

         1. การจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ หมายถึงกระบวนการดำเนินงานทางเทคนิควิชาชีพสารสนเทศศาสตร์ในหลาย ๆ รูปแบบ หลายขั้นตอนต่อเนื่องกัน เพื่อให้ศูนย์สารสนเทศได้มาซึ่งทรัพยากรสารสนเทศที่              1.1 เหมาะสมตามหลักวิชา              1.2 ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และ              1.3 ได้มาอย่างรวดเร็วที่สุดตามระบบงาน         2. ทรัพยากรสารสนเทศที่มีความเหมาะสมตามหลักวิชา ได้มาโดยผ่านการประเมินคุณค่าอย่างเข้มข้นของนักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำ การชี้นำ หรือการวิจารณ์ทรัพยากรสารสนเทศทั้งการสัมผัสจับต้องโดยตรง หรือผ่านเครื่องมือช่วยในการเลือกทั้งเครื่องมือหลักและเครื่องมือเสริม         3. ขั้นตอนเชื่อมต่อระหว่างการประเมินคุณค่ากับการจัดหา ก็คือการตัดสินใจเลือกทรัพยากรสารสนเทศแต่ละชิ้นนั้นให้ได้4. การจัดหาหรือการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรสารสนเทศ แบ่งได้เป็น 4 วิธี คือการซื้อ การได้เปล่า การแลกเปลี่ยน และการผลิตขึ้นเอง ดังรายละเอียดในลำดับต่อไป


การซื้อ
         การซื้อ คือการจ่ายเงินของหน่วยงาน / องค์กรเพื่อให้ได้ทรัพยากรสารสนเทศ
มาจัดบริการแก่ผู้ใช้ การซื้อจะมีกรรมสิทธิ์ครอบครองและใช้งานทรัพยากรสารสนเทศตลอดไปภายใต้กฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และทรัพย์สินทางปัญญา การซื้อ
เป็นวิธีจัดหาที่ต้องใช้เงินจำนวนมากกว่าวิธีอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรสารสนเทศ
ก็ยังเป็นสินค้าทั่วไปในเชิงเศรษฐกิจที่นับวันแต่จะมีราคาแพงขึ้นตามกลไกตลาดและภาวะทางเศรษฐกิจโลก การตัดสินใจซื้อทรัพยากรสารสนเทศแต่ละชิ้น จึงต้องดำเนินการ
อย่างรอบคอบ ถูกต้องตามหลักวิชาชีพ ตลอดจนมีราคาที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “การซื้ออย่างมีประสิทธิผล” นั่นเอง

กระบวนการจัดซื้อ มีดังนี้

            1. จัดทำรายการทรัพยากรสารสนเทศที่ผ่านการประเมินคุณค่า และตัดสินใจ เลือกแล้วตามหลักวิชาและความต้องการของผู้ใช้อย่างเข้มข้น
           2. เสนอขออนุมัติซื้อต่อผู้มีอำนาจอนุมัติ
           3. เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว จึงดำเนินการซื้อตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ ซึ่งต้องปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวโดยเคร่งครัด
           4. การซื้อ ต้องเลือกวิธีปฏิบัติให้ถูกต้องตามจำนวนเงินในแต่ละครั้ง
           5. ในการซื้อแต่ละครั้งแต่ละวิธี จะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นดำเนินการหลายคณะ เช่น คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา คณะกรรมการตรวจรับพัสดุตามแต่กรณีเป็นต้น และมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
           6. เมื่อดำเนินการจัดซื้อถูกต้องเรียบร้อยจนถึงขั้นคณะกรรมการตรวจรับ
พัสดุลงนามแล้ว จึงรับทรัพยากรสารสนเทศเหล่านั้นมาดำเนินงานทางเทคนิควิชาชีพต่อไปอันได้แก่ การลงทะเบียน การปรับปรุงสภาพความแข็งแรงทนทานและความปลอดภัยในการบริการ จัดหมวดหมู่และทำรายการค้น และนำออกบริการแก่ผู้ใช้ได้ในที่สุด

   การได้เปล่า
           เป็นการจัดหาที่ใช้เงินน้อยหรือเกือบไม่ใช้เงินเลย เงินที่ใช้เพื่อการได้เปล่าไม่ใช่เป็นมูลค่าราคาของทรัพยากรสารสนเทศ หากแต่เป็นค่าดำเนินการตามความจำเป็น ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือค่าส่งจดหมายติดต่อสื่อสาร และส่งทรัพยากรสารสนเทศโดยทางไปรษณีย์หรือค่าบริการขนส่งสินค้าโดยทั่วไปนั่นเอง การได้เปล่าจำแนกได้เป็น 2 แบบ คือ

            1. การบริจาค คือการที่ผู้มีจิตอันเป็นกุศลจ่ายเงินซื้อทรัพยากรสารสนเทศที่มีจำหน่ายนั้นให้โดยไม่คิดมูลค่าราคา นักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศเพียงแต่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้บริจาค และ / หรือเสียค่าขนส่งทรัพยากรสารสนเทศเหล่านั้น
ภาระหน้าที่อันสำคัญของนักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศก็คือ ต้องเสาะแสวงหาผู้มีจิตอันเป็นกุศลที่จะจ่ายเงินซื้อทรัพยากรสารสนเทศมาบริจาค ดำเนินการติดต่อขอรับการบริจาค ขนส่ง และตอบแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ เพื่อให้ผู้บริจาคเกิดความปีติยินดีในกุศลทานที่จ่ายเงินไปในการนี้

            2. การแจก คือการที่หน่วยงานหรือบุคคลมีความมุ่งหมายผลิตทรัพยากรสารสนเทศขึ้นเพื่อมอบให้ผู้ที่เห็นคุณค่าของทรัพยากรสารสนเทศนั้น ๆ โดยมิได้ผลิตขึ้นมาเพื่อการซื้อขายแต่ประการใด
ภาระหน้าที่ของนักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศก็คือ ต้องเสาะแสวงหาหน่วยงานหรือบุคคลที่ผลิตหรือมีทรัพยากรสารสนเทศนั้นไว้เพื่อให้เปล่า ดำเนินการติดต่อขอรับแจก ขนส่ง และตอบแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ เพื่อให้หน่วยงานหรือบุคคลผู้แจกได้รับทราบว่าการผลิตทรัพยากรสารสนเทศนั้น ๆ บรรลุความมุ่งหมาย คือมีผู้เห็นคุณค่าและนำทรัพยากรสารสนเทศเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์แล้วนั่นเอง

 การแลกเปลี่ยน
             เป็นการใช้ทรัพยากรสารสนเทศที่มีอยู่เกินจำนวนใช้งาน หรือหมดความจำเป็นในการใช้งาน ไปแลกกับทรัพยากรสารสนเทศของหน่วยงานองค์กรอื่นตามที่
ได้ทำข้อตกลงร่วมกัน โดยต้องดำเนินการอย่างถูกต้อง กล่าวคือ

            1. ทรัพยากรสารสนเทศที่จะนำมาแลกเปลี่ยนนั้น ต้องไม่มีหลักฐานการขึ้นทะเบียนคงอยู่ หากจะนำทรัพยากรสารสนเทศที่มีหลักฐานการขึ้นทะเบียนไว้แล้วมาแลกเปลี่ยน จะต้องดำเนินการ “คัดออก” คือถอนทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติของหน่วยงานองค์กร

            2. การแลกเปลี่ยนอาจดำเนินการได้ใน 2 ลักษณะ ตามแต่จะมีข้อตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่แลกเปลี่ยนนั้น คือ
                 2.1 เป็นคู่แลกเปลี่ยนกันโดยตรง

                 2.2 แลกเปลี่ยนผ่านหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการการแลกเปลี่ยน

            3. สัดส่วนในการแลกเปลี่ยนตามแต่จะตกลงกัน เช่นแลกเปลี่ยนเล่มต่อเล่มซึ่งจะง่ายต่อการปฏิบัติ หรือแลกเปลี่ยนเล่มต่อหลายเล่มตามแต่เนื้อหาวิชาหรือคุณค่าของทรัพยากรสารสนเทศที่กำหนด หรือสามารถปฏิเสธการแลกเปลี่ยนได้ในบางกรณี เป็นต้น

            4. ค่าใช้จ่ายในการขนส่งทรัพยากรสารสนเทศที่แลกเปลี่ยนมักจะเป็นภาระของผู้ได้รับทรัพยากรสารสนเทศนั้น

            5. หน่วยงานองค์กรจะต้องมีจิตสำนึกที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและกันดำเนินงานแลกเปลี่ยนอย่างเป็นระบบ กล่าวคือจัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศเป็นหมวดหมู่ให้ง่ายต่อการค้นหา และเผยแพร่รายละเอียดของทรัพยากรสารสนเทศที่พร้อมจะแลกเปลี่ยนนั้นอย่างเป็นเครือข่ายไม่ปิดบังอำพราง

การผลิตทรัพยากรสารสนเทศขึ้นเอง
             เป็นวิธีจัดหาแบบเส้นผมบังภูเขา กล่าวคือนักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศมักจะมองข้ามไป อาจเป็นเพราะเข้าใจว่าการผลิตทรัพยากรสารสนเทศไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของตน ทั้งยังเป็นภาระที่หนักหน่วง ต้องใช้เวลานานมาก และต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง อย่างไรก็ตาม หากนักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทและชนิดของทรัพยากรสารสนเทศอย่างกว้างขวางครอบคลุมและลึกซึ้งพอ ก็จะมองเห็นทางผลิตทรัพยากรสารสนเทศได้อย่างง่ายดาย ใช้เงินน้อย ใช้เวลาไม่มากหรือใช้เวลาว่างจากการทำงานประจำให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น ทั้งยังจะทำให้ได้ทรัพยากรสารสนเทศที่มีคุณค่าถูกต้องเหมาะสมตรงตามหลักวิชาและความต้องการใช้ประโยชน์ของผู้ใช้มากกว่าการจัดหาวิธีอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด คือไม่ต้องเสียงบประมาณจำนวนมากทั้งยังลดภาวะการเสี่ยงต่อความผิดตามกฎหมายและระเบียบการซื้อหรือเช่าลดการเสาะแสวงหาและติดต่อสัมพันธ์กับผู้บริจาคหรือผู้แจก และไม่ต้องยุ่งยากลำบากในการแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานองค์กรอื่น ตัวอย่างการผลิตทรัพยากรสารสนเทศขึ้นเอง เช่น

            1. การทำกฤตภาคจากหนังสือพิมพ์ล่วงแล้ว (ต้องเป็นหนังสือพิมพ์ที่“คัดออก”  อย่างถูกต้องตามระเบียบของหน่วยงานองค์กร)  โดยใช้กาวและกระดาษแบบเพื่อผนึกเพียงเล็กน้อย  และใช้เวลาในขณะนั่งรอให้บริการผู้ใช้ก็ทำได้

            2.  การทำวัสดุกราฟิค  เช่นภาพผนึกจากปฏิทินของปีที่ผ่านพ้นไปแล้วซึ่งจะได้ภาพสวยงามมีคุณค่าสูง  คุ้มกับค่ากาว  กระดาษแบบ  และเวลา

            3. การทำสไลด์  หากมีกล้องถ่ายรูปหรือยืมจากที่อื่นได้  ก็เสียค่าใช้จ่ายเพียงค่าฟิล์มสไลด์  1  ม้วนพร้อมค่าล้างและทำกรอบ  ก็จะได้สไลด์ถึง  35  แผ่น  แต่ละแผ่นจะถูกต้องตรงตามบทที่กำหนดไว้    หากซื้อสไลด์สำเร็จรูปนอกจากจะมีราคาแพงมากแล้วในชุดนั้น  ๆ  บางภาพอาจไม่ตรงตามต้องการก็จำยอมซื้อมาทั้งชุดด้วยราคาแพง

            4. การบันทึกเทปเสียง หรือการบันทึกวีดิทัศน์ ก็มีข้อดีเด่นทำนองเดียวกับการทำสไลด์ดังกล่าวมาข้างต้น คืออุปกรณ์หาได้ง่าย ต้นทุนต่ำ ได้ทรัพยากรสารสนเทศที่มีเนื้อหาถูกต้องครบถ้วนตรงตามต้องการ

            5. การทำจุลสาร ตั้งแต่การทำแผ่นพับด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว จนถึงทำเป็นเล่ม นักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ ย่อมสามารถผลิตเองได้อย่างแน่นอน

            6. การทำวารสาร อาจเป็นงานที่หนัก ใช้ความสามารถ ใช้เวลา และใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่ก็อยู่ในวิสัยที่นักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศสามารถทำได้


            7. การทำหนังสือตำรา เป็นงานที่หนักมาก แต่นักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศก็อาจทำได้ในขอบเขตเนื้อหาวิชาชีพ หรืออาจเป็นคู่มือปฏิบัติงาน หรือทำโครงการปรับปรุงศูนย์สารสนเทศของตนเองให้เจริญก้าวหน้าทำประโยชน์แก่ผู้ใช้ยิ่ง ๆขึ้นไป เป็นต้น

 


วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

เกร็ดความรู้

นอนน้อยอาจทำให้น้ำหนักตัวอาจเพิ่มขึ้น




ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยโคโลราโดระบุว่า การนอนน้อยทำให้คนเรารับประทานอาหารมากขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วย
ผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า การอดนอนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้น้ำหนักเพิ่ม แต่เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะนำไปสู่การรับประทานอาหารมากกว่าที่ร่างกาย เนื่องจากเมื่อคนเราตื่นนานกว่าก็ต้องการพลังงานมากกว่า แต่ปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไปนั้นมากกว่าแคลลอรีที่ถูกเผาผลาญจึงทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
การวิจัยครั้งนี้นักวิจัยมีผู้เข้าร่วมเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวรูปร่างดีและสุขภาพแข็งแรงจำนวน 16 คน ใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยโรงพยาบาลโคโลราโดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยในช่วง 3 วันแรก ผู้เข้าร่วมการวิจัยทุกคนมีเวลานอนคืนละ 9 ชั่วโมงและให้ควบคุมการรับประทานอาหาร หลังจากนั้นจึงแบ่งผู้เข้าร่วมการวิจัยออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกได้นอนคืนละ 5 ชั่วโมง ส่วนอีกกลุ่มได้นอนคืนละ 9 ชั่วโมง ในช่วง 5 วันต่อมา ในช่วงนี้ทั้งสองกลุ่มจะได้รับประทานอาหารปริมาณมากขึ้นและรับประทานของว่างได้ เช่น ไอศกรีม มันฝรั่งทอด ผลไม้ และโยเกิร์ต หลังจากนั้นทั้งสองกลุ่มจึงสลับพฤติกรรมการนอน นักวิจัยจะวัดพลังงานที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยใช้ไปโดยติดตามปริมาณออกซิเจนที่พวกเขาหายใจเข้าไปและปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่พวกเขาหายใจออกมา
ผลปรากฏว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนที่นอนหลับ 5 ชั่วโมง เผาผลาญพลังงานมากกว่าคนที่ได้นอนหลับ 9 ชั่วโมงร้อยละ 5 แต่มีปริมาณแคลลอรีที่บริโภคเข้าไปมากกว่าร้อยละ 6 โดยคนที่นอนน้อยมีแนวโน้มรับประทานอาหารเช้าน้อยกว่าแต่รับประทานของว่างหลังจากมื้อค่ำมากกว่า ซึ่งปริมาณแคลลอรีทั้งหมดในอาหารเหล่านั้นยังมากกว่าอาหารมื้อปกติด้วย
นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังพบว่า ผู้ชายและผู้หญิงตอบสนองต่อการรับประทานอาหารได้ไม่จำกัดต่างกัน โดยทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเมื่อได้นอนเพียง 5 ชั่วโมง แต่ผู้ชายมีน้ำหนักมากขึ้นแม้ว่าจะได้นอนหลับอย่างเพียงพอเมื่อรับประทานอาหารได้มากตามที่ต้องการ ส่วนผู้หญิงยังมีน้ำหนักเท่าเดิมเมื่อได้นอนหลับเพียงพอไม่ว่าจะรับประทานอาหารไปมากเพียงใด

กูเกิล พลัส (Google+) คืออะไรกัน


กูเกิล พลัส  (Google+) 

ช่วงนี้ พอเปิดเมล์ ขึ้นมา ก็มีคนมาชวนเข้าก๊วน กูเกิล พลัส (Google+) เข้า youtube ก็ ถามว่าสมัคร กูเกิล พลัส (Google+) หรือยัง …. และยังอีกสารพัดที่ ที่เข้าไป ….
แล้วไอ้ กูเกิล พลัส(Google+) นี้มันคืออะไรกันแน่ … วันนี้ก็เลยเข้าไปรวบรวมจากเว็บต่างๆมาให้ดู (ขอบคุณทุกเว็บที่ได้ทำไว้นะครับ)
กูเกิล พลัส (Google+) เป็นบริการเครือข่ายสังคมให้บริการโดยกูเกิล โดยเปิดให้ใช้งานครั้งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ผู้ที่จะเข้ามาทดลองใช้ต้องได้รับเชิญจากบุคคลที่ใช้อยู่เท่านั้น
Google+ ทำงานโดยรวมบริการหลายอย่างของทางกูเกิลเข้าไว้ที่เดียวกัน อาทิ เช่น กูเกิล บัซซ์, กูเกิล โพรไฟล์, กูเกิล ทอล์ก และอีกหลายบริการ ปัจจุบันได้มีการรับรองการทำงานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ และ แอปพลิเคชันของแอนดรอยด์ และไอโฟน ซึ่งมีแผนการที่จะพัฒนาสำหรับโทรศัพท์มือถือไอโฟน ได้มีการวิเคราะห์มาว่าบริการตัวนี้ของกูเกิลจะเป็นคู่แข่งกับเครือข่ายสังคมเฟซบุ๊ก
 
บริการต่าง ๆ ที่กูเกิลนำเสนอมีดังนี้
  • “Circle” สำหรับการแบ่งเพื่อนออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เหมือน Friend list บน Facebook
  • “Huddle” สำหรับการแชทเป็นกลุ่ม และส่งข้อความสั้น
  • “Hangout” สำหรับการวิดีโอแชทเป็นกลุ่ม (มากที่สุดได้ 10 คน)
  • “Instant upload” จะอัปโหลดรูปภาพและวิดีโอที่ถ่ายขึ้นอัลบั้มอัตโนมัติ แต่จะให้ผู้ใช้ตัดสินใจภายหลังว่าจะแบ่งปันให้กับผู้ใด ให้บริการเฉพาะบนระบบแอนดรอยด์เท่านั้น
  • “Sparks” ให้ผู้ใช้ติดตามหัวข้อและประเด็นต่าง ๆ ที่ตนชอบ
  • “Streams” ให้ผู้ใช้ดูอัปเดตต่าง ๆ จากเพื่อนได้ คล้ายกับ News feed บน Facebook
ใครยังไม่รู้จัก Google+ บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ตัวใหม่ที่ให้บริการโดย กูเกิล ลองดูคลิปวีดีโอนี้ เป็นการ์ตูน สั้นๆ เข้าใจง่ายในไม่กี่นาที

อธิบายให้เข้าใจด้วยภาษาง่าย ๆ ปุ่ม เมนูต่าง ๆ บน Google Plus
1 สตรีม (รูปบ้าน)
ก็คือหน้ารวมของทุกสิ่งอย่าง คุณจะสามารถเขียนแบ่งเรื่องใหม่ ๆ แชร์ลิงก์ ส่งภาพ เพิ่มวีดีโอ
คุณจะสามารถเห็นทุกความเคลื่อนไหวของผู้คนในแวดวงของคุณได้ทั้งหมด
ใครเขียนอะไร คุยกับใคร ใครกด +1 ให้ใคร รับทราบได้
2 รูปภาพจากแวดวง (รูปภาพภูเขา)
จะเก็บรวบรวมทุกรูปภาพจากทุกคนในแวดวงของคุณ จะมีรูปภาพให้คุณดูชมเยอะแยะเต็มไป
หมด คุณสามารถเข้าถึงรูปภาพของตัวเอง รูปภาพจากโทรศัพท์มือถือได้จากที่นี่ พูดง่าย ๆ
อะไรที่เกี่ยวกับรูปภาพจะอยู่ตรงนี้
3 โปรไฟล์ (เงาคนในวงกลม)
จะเป็นหน้าส่วนตัวของคุณ สำหรับแนะนำตัว แสดงเพื่อนของคุณการพูดคุยสื่อสาร เก็บข้อมูลที่คุณแบ่งปัน รูปภาพ วีดีโอ ลิงก์ ฯลฯ คุณสามารถใช้โปรไฟล์ในการเผยแพร่ ส่งต่อ เพื่อให้คนรู้จักคุณผ่าน url : ยาววววว https://plus.google.com/105795900800037368627/posts (ใช้บริการเสริมย่อให้สั้นลงได้เพื่อสะดวกต่อการจดจำ)
4 แวดวง (วงกลมสีซ้อนกัน)
หน้านี้จะโชว์ภาพแทนตัวของคนทุกคนที่ติดต่อกับคุณ และคุณติดต่อกับเขา คนที่คุณเพิ่ม คน
ที่คุณเชิญ ใครเป็นใครทุกคนจะอยู่รวมกันในนี้หมด
คุณสามารถกำหนด และจัดกลุ่มความสัมพันธ์ได้ ด้วยการลากแต่ละคนมาอยู่ในวงกลมความ
สัมพันธ์ที่กำหนดไว้ โดยค่าเริ่มต้นที่มีมาให้จะมีดังนี้
Acquaintances (คนรู้จัก) ,Family(ครอบครัว),Following(ผู้ที่ติดตาม),Friends(เพื่อน)
และคุณสามารถเพิ่มวงกลมความสัมพันธ์ได้ได้เองตามใจชอบ
คนที่คุณลากมาอยู่ในแต่ละวงกลม ก็เหมือนคนละกลุ่มกัน การเข้าถึงข้อมูล การพูดคุย
แลกเปลี่ยน หรือ สิ่งที่แชร์ก็จะเป็นเฉพาะกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะเห็นไม่เหมือนกัน
คนในวงกลมครอบครัว จะไม่รู้ไม่เห็นว่า คนในวงกลมเพื่อนคุยอะไร แชร์อะไรกัน
หรือวงกลมคนรู้จักคุณกำหนดให้เห็นข้อมูลส่วนตัวของคุณแบบผิวเผิน ในขณะที่วงกลมเพื่อน
คุณกำหนดให้เห็นข้อมูลของคุณทุกอย่างที่ต้องการแสดง
ทั้งหมดตั้งค่าปรับแต่ง ตามรูปแบบความเป็นส่วนตัวของคุณได้
5 รูปภาพแทนตัวของคุณ (เปลี่ยนได้ตามใจชอบ) เพื่อความเป็น Social Network ส่วนใหญ่นิยมใช้รูปตัวจริงเสียงจริงกันนะครับ
6 ส่วนแสดงข้อมูลรวม (อ่านรายละเอียดข้อ 1)
7 สตรีมข้อมูล ข่าวสาร การแชร์ แบ่งตามวงกลมความสัมพันธ์ (แวดวง) ที่คุณจัดไว้ ซึ่งข้อมูลจะแสดงไม่เหมือนกันในแต่ละกลุ่มแวดวง (อ่านรายละเอียดข้อ 4)
8 ถ้าคุณติดตั้งส่วนเสริมต่าง ๆ จะแสดงปุ่มส่วนเสริมตรงนี้ ในภาพมีการติดตั้งส่วนเสริม
สำหรับเล่น Facebook บน Google Plus ก็เลยมี ปุ่ม Facebook ด้วย
9 กูเกิล พลัส จะแนะนำเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ให้คุณรู้จัก ถ้าคุณอยากรู้จักใครก็สามารถเพิ่ม
ไว้ในแวดวงของคุณได้
10 แสดงเพื่อนในแวดวงทั้งหมดของคุณ พร้อมบอกจำนวนว่ามีกี่คน (สุ่มโชว์ครั้งละ 14 คน)
11 แจ้งเตือน ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ใครพูดคุยอะไรกับคุณ กับใคร ใครแบ่งปัน ตอบ แชร์อะไร เมื่อมีความเคลื่อนไหวจะแจ้งเตือนตลอดเวลา
12 เนื้อหาสาระดี ๆ ที่กูเกิลรวบรวมไว้ให้อ่านเล่น แบ่งตามหมวดหมู่ความสนใจ
13 ใช้ในการค้นหาผู้คนใน Google Plus
14 กลุ่มไอคอนที่ใช้ในการแบ่งปัน รูปภาพ วีดีโอ ลิงก์ ฯลฯ

ภูมิปัญญาท้องถิ่น


ความหมายของภูมิปัญญา

มีผู้รู้ให้ความหมายของภูมิปัญญาไว้มากมาย  เช่น
ภูมิปัญญา (Wisdom) หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ความเชื่อ ความสามารถทางพฤติกรรมและความสามารถในการแก้ไขปัญหาของมนุษย์            
ภูมิปัญญา  เป็นเรื่องที่สั่งสมกันมาตั้งแต่อดีตและเป็นเรื่องของการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน  คนกับธรรมชาติ  คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ  โดยผ่านกระบวนการทางจารีตประเพณี วิถีชีวิต การทำมาหากินและพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความสัมพันธ์เหล่านี้
ภูมิปัญญา  หมายถึง ประสบการณ์ในการประกอบอาชีพ ในการศึกษาเล่าเรียน การที่ชาวนารู้จักวิธีทำนา  การไถนา การเอาควายมาใช้ในการไถ่นา  การรู้จักนวดข้าวโดยใช้ควาย  รู้จักสานกระบุง  ตระกร้า เอาไม้ไผ่มาทำเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวัน  เรียกว่าภูมิปัญญาทั้งสิ้น
ภูมิปัญญา  เป็นผลึกขององค์ความรู้ที่มีกระบวนการสั่งสม สืบทอด กลั่นกรอง กับมายาวนาน มีที่มาหลากหลายแต่ได้ประสบประสานกันจนเป็นเหลี่ยมกรณีที่จรัสแสงคงทนและท้าทายตลอดกาลเวลา ความรู้อาจจะไม่ได้เป็นเอกภาพ แต่ภูมิปัญญาจัดว่าเป็นเอกลักษณ์
ดังนั้น  อาจสรุปได้ว่า  ภูมิปัญญา หมายถึง  องค์ความรู้ ความเชื่อ ความสามารถของคนในท้องถิ่น
ที่ได้จากการสั่งสมประสบการณ์และการเรียนรู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน มีลักษณะเป็นองค์รวม และมีคุณค่าทางวัฒนธรรม

ประเภทของภูมิปัญญา

  1. ภูมิปัญญาพื้นบ้าน เป็นองค์ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ที่สั่งสมและสืบทอดกันมา เป็นความสามารถและศักยภาพในเชิงการแก้ปัญหา การปรับตัวเรียนรู้และสืบทอดไปสู่คนรุ่นต่อไป เพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ จึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมชาติ ของเผ่าพันธุ์หรือเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน
  2. ภูมิปัญญาชาวบ้าน  เป็นวิธีการปฏิบัติของชาวบ้าน ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ แนวทางแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง แต่ละประสบการณ์  แต่ละสภาพแวดล้อม ซึ่งจะมีเงื่อนไขปัจจัยเฉพาะแตกต่างกันไป นำมาใช้แก้ไขปัญหาโดยอาศัยศักยภาพที่มีอยู่โดยชาวบ้านคิดเอง เป็นความรู้ที่สร้างสรรค์และมีส่วนเสริมสร้างการผลิต หรือเป็นความรู้ของชาวบ้านที่ผ่านการปฏิบัติมาแล้วอย่างโชกโชน  เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรม
    เป็นความรู้ที่ปฏิบัติได้มีพลังและสำคัญยิ่ง ช่วยให้ชาวบ้านมีชีวิตอยู่รอดสร้างสรรค์การผลิตและช่วย
    ในด้านการทำงาน  เป็นโครงสร้างความรู้ที่มีหลักการ มีเหตุ มีผลในตัวเอง
     
  3. ภูมิปัญญาท้องถิ่น  เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตของคน  ผ่านกระบวนการศึกษา สังเกต คิดว่าวิเคราะห์จนเกิดปัญญาและตกผลึกเป็นองค์ความรู้ที่ประกอบกันขึ้นมาจากความรู้เฉพาะหลาย ๆ เรื่อง จัดว่าเป็นพื้นฐานขององค์ความรู้สมัยใหม่ที่จะช่วยในการเรียนรู้ การแก้ปัญหาจัดการและการปรับตัวในการดำเนินชีวิตของคนเรา ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นความรู้ที่มีอยู่ทั่วไปในสังคม ชุมชนและในตัวผู้รู้เอง จึงควรมีการสืบค้น
    รวบรวม ศึกษา ถ่ายทอด พัฒนาและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
      
  4. ภูมิปัญญาไทย  หมายถึง  องค์ความรู้ ความสามารถ
    ทักษะของคนไทยที่เกิดจากการส่งเสริมประสบการณ์ที่ผ่านกระบวนการการเลือกสรร เรียนรู้ปรุงแต่งและถ่ายทอดสืบต่อกันมา  เพื่อใช้แก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย

ลักษณะของภูมิปัญญาท้องถิ่น

ลักษณะสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น พอสรุปได้ดังนี้
  1. เป็นเรื่องของการใช้ความรู้  ทักษะ  ความเชื่อและพฤติกรรม
  2. แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง  คนกับคน  คนกับธรรมชาติ  คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
  3. เป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิต
  4. เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหา  การจัดการ  การปรับตัว  การเรียนรู้เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชนและสังคม
  5. เป็นแกนหลักหรือกระบวนทัศน์ในการมองชีวิตเป็นพื้นความรู้ในเรื่องต่าง ๆ
  6. มีลักษณะเฉพาะหรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง
  7. มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคมตลอดเวลา
  8. มีวัฒนธรรมเป็นฐาน  ไม่ใช่วิทยาศาสตร์
  9. มีบูรณาการสูง
  10. มีความเชื่อมโยงไปสู่นามธรรมที่ลึกซึ้งสูงส่ง
  11. เน้นความสำคัญของจริยธรรมมากกว่าวัตถุธรรม

แนวทางการดำเนินงานภูมิปัญญาท้องถิ่น

 กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดให้มีกลุ่มงานภูมิปัญญาท้องถิ่น ภายใต้สำนักพัฒนาเกษตรกร ตามนโยบายปฏิรูประบบราชการ เพื่อรับผิดชอบในการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ โดยมีหน้าที่ดังนี้
  1. ศึกษา รวบรวม และจัดทำฐานข้อมูลองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีพื้นบ้าน และภูมิปัญญาท้องถิ่น
  2. ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษา ทดสอบ และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยเน้นการมีส่วนร่วมของเกษตรกร
  3. บริหารและจัดการให้เกิดการทำงานเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา เอกชน และองค์กรเกษตรกร/ชุมชนอย่างเป็นระบบ ในการพัฒนา บ่มเพาะ และถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น
  4. ส่งเสริมการสนับสนุนการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสากลให้เกิดนวตกรรมด้านการเกษตร
  5. สนับสนุน และประสานให้เกิดการปกป้องคุ้มครองสิทธิประโยชน์ และทรัพย์สินทางปัญญาทีเกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

เกร็ดความรู้


 อาหาร 6 ชนิด พิชิตไขมัน

          ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้วดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วยดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย

        เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันและหัวใจวายแน่นอน
อาหารและผักบางชนิดมีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล
ได้เป็นอย่างดีเยี่ยม อาหาร 6 ตัวสำคัญนั้น คือ
มะเขือต่างๆหอมหัวใหญ่กระเทียมถั่วเหลืองแอปเปิ้ลโยเกิร์ตวันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ
ก็ควรรับประทานอาหารเหล่านี้ตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน เช่น
เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ
หรือมะเขือพวงมากๆ
เมื่อรับประทานไข่มากๆ
ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนักคุณก็ควร
รับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียวหรือไข่ดาวด้วย
หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผลทุก ๆ วัน
หรือโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วยทุกๆ วัน
รับประทานกระเทียมสดๆ เล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่าง ๆ
เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย
กว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆ ทุกจานโดยสิ้นเชิง
        คุณยังสามารถรับประทานเนย แฮม เบคอน
ขาหมู ไข่ หรือ อาหารไขมันสูงจานต่างๆ ได้ในบางมื้อบางวัน
หากเพียงคุณรู้จักรับประทานผักเหล่านี้เข้าไปด้วย
        *** ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว อาหาร 6 อย่างนี้ยังมีคุณค่าของสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกาย
ของคุณอย่างมากมายในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น แอปเปิล หอมใหญ่และโยเกิร์ตต่างๆ ช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น
 

เกร็ดความรู้


 10 วิธีถนอมสายตา หน้าจอคอมพิวเตอร์

         1. ควรเลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา วิธีทดสอบง่ายๆ ทำได้โดยลองปิดสวิตช์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ๆ จอภาพให้มากที่สุด จอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว คือไม่รู้สึกขนลุก     
          2. ปรับแสงและความคมชัดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา รวมทั้งความสว่างภายในที่ทำงาน ลดแสงสะท้อนรบกวน เช่น ปิดไฟดวงที่สะท้อนจ้าลงบนจอคอมพิวเตอร์ หากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้าและจอภาพมีความสว่างมาก ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อดวงตาได้ง่ายและรวดเร็ว จะรู้สึกว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตาอย่างรุนแรง      
          3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 18-24 นิ้ว หรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา หากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย      
          4. ใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะช่วยลดการกระจายรังสีจากจอคอมพิวเตอร์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วแต่คุณภาพของสินค้า แต่อย่างน้อยๆ ก็ช่วยลดแสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ลงได้      
          5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนแสงมากขึ้น
          6. หยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานใหม่ จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องเพ่งคอมพิวเตอร์ได้ จงหยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาทีทุกๆ 2 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็แนะนำว่าควรจะหยุดพักบ่อยๆ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เช่น พักสายตาทุก 30 นาที โดยหลับตาหรือมองไปไกลๆ สัก 5-10 นาที แล้วจึงเริ่มทำงานต่อไป ก็จะช่วยถนอมสายตาได้      
          7. อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาสัก 2-3 นาที หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือ ปิดไฟ นอนพักสักครู่ (ถ้าไม่มีปัญหากับหัวหน้างาน)      
          8. ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง เพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ก็มักจะมีเครื่องปรับอากาศอยู่ด้วย เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้ง การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้      
          9. ควรกะพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติ เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ภายใน 10 วินาที ลองพยายามกะพริบตาสัก 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก      
เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ภายใน 10 วินาที ลองพยายามกะพริบตาสัก 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก      
          10. ตรวจสุขภาพตาบ่อยๆ ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ และมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรตรวจเช็กสุขภาพตาบ้าง